Article
แนวโน้มเศรษฐกิจไทย 2566
ผู้เขียน: ดร. นเรนทร์ ชุติจิรวงศ์
ผู้อำนวยการบริหาร | Clients and Markets
ดีลอยท์ ประเทศไทย
ผู้มีส่วนร่วม: ทัศดา แสงมานะเจริญ
Senior Consultant | Clients & Markets
ดีลอยท์ ประเทศไทย
ในปีที่ผ่านมาประเทศไทยพบกับสถานการณ์ต่าง ๆ ที่รุมเร้า ทั้งโรคระบาด สงครามในยูเครน เงินเฟ้อ รวมถึงการปรับขึ้นของอัตราดอกเบี้ยนโยบายอย่างรวดเร็วของธนาคารกลางหลายพื้นที่ทั่วโลก รวมทั้งไทยเองที่ปรับเพิ่มอัตราดอกเบี้ยนโยบายครั้งแรกในเดือนสิงหาคม 2565 ที่ 0.25% ตั้งแต่โควิดระบาดเพื่อต่อสู้กับสถานการณ์เงินเฟ้อ เมื่อเข้าสู่ปี 2566 เศรษฐกิจไทยส่อแววฟื้นตัวจากการกลับมาของนักท่องเที่ยวและการบริโภคภาคเอกชน ทาง IMF และ ธนาคารแห่งประเทศไทยต่างก็ได้คาดการณ์ว่า เศรษฐกิจไทยจะโตอยู่ที่ 3.7% ในปี 2566 ท่ามกลางการชะลอตัวของเศรษฐกิจโลก
ก่อนสถานการณ์โควิด ไทยมีการท่องเที่ยวที่เป็นแรงขับเคลื่อนทางเศรษฐกิจที่สำคัญเป็นอย่างมาก ซึ่งปัจจุบันเริ่มฟื้นตัวจากมาตรการภาครัฐที่ผ่อนคลาย และการเปิดประเทศ โดยเดือนธันวาคม 2565 ที่ผ่านมา ไทยได้บรรลุเป้าหมายจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติ 10 ล้านคนเป็นที่เรียบร้อยแล้ว โดยมาจากมาเลเซียมากที่สุด ตามด้วยอินเดียและลาวตามลำดับ และคาดว่าจะพุ่งสู่ 22 ล้านคนในปี 2566 นอกจากนี้การเปิดประเทศของจีนที่เร็วกว่ากำหนดอาจช่วยดันจำนวนนักท่องเที่ยวให้เพิ่มขึ้นกว่าที่คาดการณ์ไว้
ปัญหาค่าครองชีพสูงจากเงินเฟ้อและต้นทุนที่เพิ่มขึ้นส่อแววคลี่คลายลง เพราะเงินเฟ้อของประเทศไทยผ่านจุดสูงสุดที่ 7.9% เมื่อสิงหาคม 2565 ไปแล้ว และลดระดับลงมาสู่ 5.6% ในพฤศจิกายน 2565 โดยคาดว่าจะกลับสู่กรอบเป้าหมายที่ 3% ภายในสิ้นปีนี้ อย่างไรก็ตาม ประเทศไทยยังได้รับผลกระทบจากราคาพลังงานสูงเนื่องจากไทยต้องพึ่งพาการนำเข้าพลังงานเป็นจำนวนมากโดยเฉพาะน้ำมันดิบ
แม้ว่าต้นทุนแพงแต่การบริโภคเริ่มฟื้นตัว เห็นได้จากดัชนีการบริโภคภาคเอกชนที่สูงกว่าระดับก่อนโควิด รวมทั้งดัชนีดังกล่าวในภาคบริการที่ฟื้นตัวกว่า 48% ในตุลาคม 2565 เมื่อเทียบกับเมษายน 2563
เมื่อเทียบค่าเงินบาทกับพื้นที่อื่น เงินบาทอ่อนค่าถึง 38 บาทต่อดอลลาร์ สรอ. เมื่อตุลาคม 2565 จากการปรับขึ้นของอัตราดอกเบี้ยนโยบายสหรัฐฯ ทั้งนี้ค่าเงินบาทเริ่มแข็งค่าขึ้นในปัจจุบันจากการที่เฟดประกาศที่จะชะลอการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย สถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทยยังได้คาดการณ์เมื่อพฤศจิกายน 2565 ว่าค่าเงินบาทจะอยู่ที่ราว 36.78 บาทต่อดอลลาร์ สรอ. ในปี 2566 นี้
ทิศทางของอุตสาหกรรมในประเทศไทยค่อนข้างไปในทางที่หลากหลาย อุตสาหกรรมที่ส่อฟื้นตัวดีกว่าระดับก่อนโควิดได้แก่การค้าปลีกและค้าส่ง ห้างสรรพสินค้า จากแรงสนับสนุนของมาตรการภาครัฐ รวมทั้งกำลังซื้อของกลุ่มรายได้ปานกลางถึงสูง และการฟื้นตัวของภาคการท่องเที่ยว นอกจากนี้การใช้อินเตอร์เน็ตที่เพิ่มขึ้นยังส่งผลบวกต่ออุตสาหกรรมเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร รวมทั้งพฤติกรรมที่เปลี่ยนไปหลังโควิดยังช่วยสนับสนุนธุรกิจอีคอมเมิร์ซ การขนส่ง และอุปกรณ์อิเล็คทรอนิกส์ อย่างไรก็ตาม อุตสาหกรรมที่น่าเป็นห่วงคือรถยนต์เครื่องยนต์สันดาปภายในจากการขาดแคลนเซมิคอนดักเตอร์ที่ยืดเยื้อ ราคาวัตถุดิบสูง และแนวโน้มการใช้รถยนต์ไฟฟ้า นอกจากนี้อุตสาหกรรมเหล็กยังประสบปัญหาราคาต้นทุนสูง ซึ่งทั้งการบริโภคและการนำเข้าของผลิตภัณฑ์เหล็กสำเร็จรูปต่างหดตัวลง 23% ในตุลาคม 2565 เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อนตามข้อมูลจากสถาบันเหล็กและเหล็กกล้าแห่งประเทศไทย
ความเสี่ยงและโอกาสของเศรษฐกิจไทยปี 2566
ความเสี่ยงสำคัญที่อาจเป็นอุปสรรคต่อการฟื้นตัวของเศรษฐกิจไทย ได้แก่ ความตึงเครียดทางภูมิรัฐศาสตร์ (เช่น สงครามในยูเครน ความตึงเครียดระหว่างจีน-ไต้หวัน) ที่ส่งผลให้อุปทานหยุดชะงักหรือราคาพลังงานและต้นทุนวัตถุดิบสูงขึ้น การปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยเพื่อตอบสนองต่อภาวะเงินเฟ้อของเฟดและภูมิภาคอื่น ๆ จะทำให้กำลังซื้อลดลง ประกอบกับหนี้ครัวเรือนของประเทศไทยที่อยู่ในระดับสูงในปัจจุบัน (88.2% ต่อ GDP ณ เดือนพฤศจิกายน 2565) การฟื้นตัวของเศรษฐกิจจีนที่อาจฟื้นตัวได้ช้ากว่าคาดยังส่งผลต่อภาคการท่องเที่ยวและการส่งออกของไทย อย่างไรก็ตามโอกาสของเศรษฐกิจไทย ได้แก่ จำนวนนักท่องเที่ยวที่เพิ่มขึ้นจากภูมิภาคอื่นที่เปิดพรมแดนอีกครั้ง การฟื้นตัวของการบริโภคภายในประเทศหลังโควิด และการย้ายฐานการผลิตออกจากจีน
มองไปข้างหน้าสำหรับกระแสปี 2566
การเปลี่ยนแปลงทางดิจิทัลและ ESG เป็นแนวโน้มระดับโลกที่สำคัญสำหรับทุกธุรกิจไม่ว่าจะเป็นอุตสาหกรรมใด ผู้นำต่าง ๆ ควรเข้าใจและใช้ประโยชน์สูงสุดจากกระแสธุรกิจเหล่านี้
การเปลี่ยนแปลงทางดิจิทัลไม่ใช่ทางเลือกสำหรับธุรกิจอีกต่อไป เนื่องจากแรงกดดันจากโรคระบาดและแนวโน้มของผู้บริโภคเปลี่ยนไปเป็นดิจิทัลมากขึ้น จากบทความล่าสุดของ Deloitte Tech Trend 2023 ผลกระทบของเทคโนโลยีเกิดใหม่นั้นส่งผลกระทบต่อองค์กรอย่างกว้างขวางทั้งในด้านความท้าทายและโอกาส
คติประจำใจของสตาร์ทอัพที่กล่าวว่า ‘move fast, fail fast and break things’ อาจใช้ไม่ได้กับบริษัท เนื่องจากพวกเขาไม่มีมรดกให้คุ้มกัน ธุรกิจที่ประสบความสำเร็จต้องตระหนักว่าพวกเขาไม่สามารถเสี่ยงกับการทำลายสิ่งใหม่ ๆ ได้แบบสตาร์ทอัพ จึงจำเป็นอย่างมากที่จะสร้างสมดุลให้กับความคิดริเริ่มในการเปลี่ยนแปลงสู่ดิจิทัล จากการปรับปรุงเทคโนโลยี/กระบวนการทางธุรกิจหลักให้ทันสมัย ไปจนถึงการขยายขีดความสามารถทางธุรกิจ หรือแม้แต่การปรับรูปแบบธุรกิจใหม่
ผู้นำมีบทบาทสำคัญในการผลักดันให้การเปลี่ยนแปลงสู่ดิจิทัลประสบความสำเร็จ รวมถึงควรมีการคาดการณ์แนวโน้มและความท้าทายของธุรกิจในอนาคต เพื่อกำหนดวิสัยทัศน์ธุรกิจต่อไป
ความพร้อมขององค์กรเป็นอีกปัจจัยสำคัญต่อความเป็นผู้นำ วัฒนธรรม โครงสร้าง และความสามารถ ผู้บริหารระดับ C-suite ควรมีแรงจูงใจและสามารถดำเนินการตามวิสัยทัศน์ด้วยทัศนคติเชิงบวกและพร้อมที่จะเปลี่ยนแปลง มีการปลูกฝังวัฒนธรรมด้านนวัตกรรม กล้าเสี่ยง รวมทั้งมีการออกแบบบุคลากรและโครงสร้างทีมที่เหมาะสมเพื่อรองรับการริเริ่มด้วยความสามารถในการปรับขนาดและความว่องไว
ความตั้งใจของผู้นำและความพร้อมขององค์กรจะช่วยกำหนดและวางโครงสร้างธุรกิจเกี่ยวกับวิธีการจัดการและขับเคลื่อนความคิดริเริ่มในการเปลี่ยนแปลงทางดิจิทัลให้ประสบความสำเร็จในแนวทางที่ยั่งยืน
นอกจากนี้ ในปัจจุบัน ประเด็น ESG ยังมีความสำคัญมากขึ้น นักลงทุนต่างให้ความสนใจในบริษัทที่มีเป้าหมาย ESG อย่างจริงจังมากขึ้น จากผลสำรวจ Thailand ESG and Sustainability Survey 2022 ของดีลอยท์ ประเทศไทยพบว่า ผู้นำธุรกิจส่วนใหญ่ให้ความสำคัญกับการตระหนักถึง ESG ในองค์กรและได้รวม ESG เข้ากับกลยุทธ์องค์กร นอกจากนี้ 34% ของผู้ตอบแบบสอบถามได้จัดตั้งคณะกรรมการด้านความยั่งยืนเพื่อดูแลหรือขับเคลื่อน ESG ในธุรกิจของตนอยู่แล้ว ผู้ตอบแบบสอบถามส่วนใหญ่ยังมองว่าการดำเนินงานด้านความยั่งยืนของบริษัทที่ดีขึ้นจะก่อให้เกิดผลกระทบเชิงบวก 3 ประการ ได้แก่ การดำเนินงานที่มีประสิทธิภาพและลดต้นทุน ภาพลักษณ์และความน่าเชื่อถือของแบรนด์ และการบริหารความเสี่ยง