Article
Fintech และ เทคโนโลยีสมัยใหม่: ตอบรับโอกาสพร้อมทั้งเข้าใจความเสี่ยงกับกรณีศึกษาประเทศสิงค์โปร์
วันที่: พฤศจิกายน 2018
ผู้เขียน: นเรนทร์ ชุติจิรวงศ์
Disruptive technology หรือที่เราสามารถแปลได้ตรงตัวคือ นวัตกรรมเทคโนโลยีที่สร้างผลกระทบเปลี่ยนแปลงอย่างรุนแรงให้เปลี่ยนไปจากสภาวะที่ดำรงอยู่ การพัฒนาของเทคโนโลยีกลุ่มนี้นั้นได้สร้างผลกระทบอย่างกว้างขวางต่อเศรษกิจทั่วโลก ซึ่งธุรกิจที่ได้รับผลกระทบทั้งด้านบวกและลบของการพัฒนาของเทคโนโลยีอย่างชัดเจนคือ ธุรกิจด้านการเงินการธนาคารเนื่องด้วยธรรมชาติของการทำงานธุรกรรมต่าง ๆ ของธุรกิจการเงินอยู่ในรูปของดิจิทอลอยู่แล้ว ยิ่งปัจจุบันทั่วโลกเปลี่ยนแปลงไปสู่ ‘Global-digitisation’ มากขึ้นยิ่งจำเป็นต้องปรับตัวต่อการเปลี่ยนแปลงพัฒนาและประยุกต์ใช้เทคโนโลยีใหม่เหล่านี้เพื่อปรับปรุงประสิทธิภาพการให้บริการและประสบการณ์ของลูกค้า ซึ่งก็รวมไปถึงธุรกิจประเภทอื่น ๆ ด้วยเช่นกัน การปรับตัวในทุกภาคส่วนธุรกิจนี้เองได้ทำไปสู่การเกิดความร่วมมือระหว่างบริษัทในธุรกิจเดียวกันและระหว่างธุรกิจมากยิ่งขึ้น
แต่อย่างไรก็ตาม การที่ธุรกิจต่าง ๆ ปรับตัวเข้าหาเทคโนโลยีและมีการเชื่อมต่อกันเป็นเครือข่ายมากขึ้นก็ได้นำไปสู่ความเสี่ยงที่เพิ่มขึ้นต่อทั้งตัวบริษัทเองและระบบเครือข่ายด้วย และด้วยการใช้งานเทคโนโลยีใหม่ ๆ ที่มากขึ้นย่อมทำให้ธุรกิจต้องแบกรับความเสี่ยงที่ไม่รู้ล่วงหน้ามากขึ้นตามมาเช่นกัน
ระดับความเสี่ยงและผลกระทบ
ทุกโอกาสต่าง ๆ มักมาพร้อมกับความเสี่ยงที่จำเป็นต้องได้รับการประเมิน, การบริหารจัดการและการป้องกันอย่างเหมาะสม เพื่อให้สามารถบรรลุวัตถุประสงค์หลักในการปรับใช้เทคโนโลยีใหม่ได้ โดยที่ความเสี่ยงสามารถแบ่งได้เป็นหลายระดับด้วยกันเนื่องจากความแตกต่างในแต่ละ Disruptive technology
ระดับความเสี่ยง 1: ผลกระทบระดับองค์กร
สถาบันการเงินต้องมีการวิเคราะห์ความซับซ้อนที่เกิดขึ้นอย่างทันท่วงที ผู้บริหารด้านความเสี่ยงหรือ CRO (Chief Risk Officer) จะต้องเข้ามามีส่วนร่วมในการวางกลยุทธ์ที่จะออกแบบกรอบการกำกับดูแลและการควบคุมที่มีประสิทธิภาพให้กับองค์กร โดยเฉพาะอย่างยิ่งในส่วนของความเสี่ยงในระดับปฏิบัติการ เช่น การป้องกันการฟอกเงิน และ การต่อต้านการจัดหาเงินทุนของการก่อการร้าย, ความเป็นส่วนตัวของข้อมูล, และ ความเสี่ยงด้านไซเบอร์
ระดับความเสี่ยง 2: ผลกระทบระดับกลุ่มอุตสาหกรรม
ในปัจจุบันบริษัทในกลุ่มการเงินมีความเสี่ยงอย่างสูงที่การบริการทางด้านการเงินแบบเดิมจะถูกรบกวนหรือเข้ามาแทนที่ด้วยเทคโนโลยีใหม่ๆ ตัวอย่างที่เห็นได้ชัดในปัจจุบันเช่น Blockchain หรือ P2P lending (การกู้ยืมเงินจากคนสู่คนโดยไม่ผ่านสถาบันการเงิน) โดยทุกองค์กรทางการเงิน ไม่ว่าจะเป็นธนาคาร หรือ สถาบันการเงินอื่น ๆ ต้องตระหนักถึงการเปลี่ยนแปลงซึ่งจะช่วยให้รอดพ้นการการแข่งขันรูปแบบใหม่นี้ โดยตัวอย่างการปรับตัวที่หลายองค์กรกำลังเดินหน้าทำคือการ ร่วมมือกันกับบริษัทต่าง เช่น Fintech ที่จะนำเทคโนโลยีและความชำนาญมาใช้ เพื่อรักษาความสามารถในการแข่งขันขององค์กรภายในตลาด
ระดับความเสี่ยง 3: ผลกระทบระดับบุคคลและสังคม
ทุกครั้งที่มีการเปลี่ยนแปลงของเทคโนโลยีใหม่ๆที่ส่งผมกระทบอย่างรุนแรงกับการปฏิบัติงานขององค์กร โดยเฉพาะ ระบบอัตโนมัติ, ความเป็นส่วนตัว, และการจัดการบุคลากร การปรับเปลี่ยนความต้องการของสายงานและความชำนาญ งานพื้นฐานที่ไม่ได้มีความซับซ้อนมีโอกาสสูงที่จะโดนทดแทนโดยระบบอัตโนมัติ บางสายงานที่มีความซับซ้อนและต้องการการวิเคราะห์อาจได้รับประโยชน์จากเทคโนโลยี่ที่จะช่วยให้การทำงานมีประสิทธิภาพขึ้น นี่เป็นสัญญานเตือนให้องค์กรเตรียมพร้อมบุคลากรกับการเปลี่ยนแปลงของความรู้ความชำนาญในการทำงานในอนาคต
กรณีศึกษา: การรับมือกับความเสี่ยงต่อการเปลี่ยนแปลงของประเทศสิงค์โปร์
สิงคโปร์เป็นประเทศที่โดดเด่นในด้านการขับเคลื่อนและส่งเสริมเทคโนโลยีสารสนเทศในทุกส่วนของสังคมมาเป็นเวลานานรวมถึงการเป็นศูนย์กลางนวัตกรรมและเทคโนโลยีในภูมิภาค ปรากฏการณ์การเติบโตของ Fintech เกิดขึ้นในสิงค์โปร์ เกิดทั้งในภาคเอกชนและภาครัฐ ซึ่งเป็นการเสริมความเข้มแข็งให้กับการพัฒนานวัตกรรมมากยิ่งขึ้น
อย่างไรก็ตามอย่างที่กล่าวไว้ข้างต้นการพัฒนาของนวัตกรรมมาพร้อมกับความเสี่ยง การหาจุดสมดุลระหว่างการสนับสนุนให้เกิดการสร้างนวัตกรรมใหม่ ๆ กับการควบคุมความเสี่ยงและผลกระทบเป็นสิ่งที่จำเป็นต้องทำด้วยความระมัดระวัง นี่คือสิ่งที่เราสามารถเรียนรู้ได้จากประเทศสิงคโปร์ว่าพวกเขาจัดการประเด็นเหล่านี้อย่างไร โดยการวางนโยบายและแนวทางปฏิบัติไว้เป็น 3 หัวข้อหลัก ดังต่อไปนี้
1) วิสัยทัศน์: การลงทุนระยะยาวในอนาคต
ภายใต้แผนงาน การเปลี่ยนแปลงประเทศเข้าสู่ยุคสารสนเทศ หรือ “Smart Nation Transformation” รัฐบาลสิงคโปร์ได้ลงทุนจำนวนหลายพันล้านดอลลาร์สิงคโปร์ในการพัฒนากลุ่มอุตสาหกรรมเป้าหมาย (Industry Transformation Programme) และกองทุนงานวิจัย (National Research & National Productivity Funds) เพื่อที่จะให้มั่นใจว่า ภาคธุรกิจและวิชาการได้รับแรงจุงใจ ที่จะกระตุ้นการลงทุน และ การวิจัยเพื่อพัฒนาให้สิงคโปร์เป็นผู้ทำทางด้านนวัตกรรมและเทคโนโลยี ซึ่งจากการประกาศที่ผ่านมาของรัฐบาลในปี 2018 ได้ช่วยเพิ่มการลงทุนให้มากขึ้น โดยเสนอการหักภาษีสำหรับค่าใช้จ่ายในโครงการวิจัยและพัฒนาที่ดำเนินการในประเทศสิงคโปร์รวมทั้งค่าใช้จ่ายในการคุ้มครองทรัพย์สินทางปัญญา (Intellectual Property)
2) การศึกษา: การบ่มเพาะความสามารถใหม่ ๆ ให้เป็นผู้นำในอนาคต
เพื่อให้มั่นใจได้ว่าพลเมืองของประเทศมีความพร้อมที่จะสร้างสรรค์นวัตกรรมต่าง ๆ รัฐบาลสิงคโปร์ลงทุนกว่า 145 ล้านเหรียญสิงคโปร์ ผ่านทางสภาเศรษฐกิจในอนาคต (The Future Economy Council (FEC)) เพื่อสนับสนุนและเพิ่มทักษะของบุคลากรตนเองโดยใช้โปรแกรมการเรียนรู้ต่าง ๆ เช่น TechSkills Accelerator (TeSA) และ SkillsFuture for Digital Workplace สำหรับเทคโนโลยีที่เกิดขึ้นใหม่และการเปลี่ยนแปลงทางดิจิตอลของเศรษฐกิจ
3) นวัตกรรม: การจัดการงานวิจัยให้สอดคล้องกับอุตสาหกรรม
เพื่อช่วยลดช่องว่างระหว่างงานวิจัยทางวิชาการ(ภาคทฤษฎี) และอุตสาหกรรม(ภาคปฏิบัติ) ในประเทศ ผ่านหน่วยงานเอเจนซี่ ชื่อ Agency for Science and Technology Research (A*STAR) ซึ่งได้ทำงานอย่างใกล้ชิดผ่านโครงการต่าง ๆ เช่น Tech Depot ซึ่งเป็นศูนย์กลางในการอำนวยความสะดวกในการเข้าถึงเทคโนโลยีและดิจิตอลโซลูชั่นสำหรับองค์กรในท้องถิ่น และ Tech Access ซึ่งช่วยให้ องค์กรขนาดกลาง และ ขนาดย่อม (SME) สามารถเข้าถึงอุปกรณ์เทคโนโลยีและบุคลากรที่มีความชำนาญได้ ด้วยงบประมาณปี 2018 รัฐบาลมุ่งเป้าไปที่การเสริมสร้างความเข้มแข็งโดยมุ่งเน้นไปที่โครงการหุ่นยนต์เพื่อกระตุ้นการใช้หุ่นยนต์ให้แพร่หลายโดยเฉพาะอย่างยิ่งในภาคการก่อสร้าง
บทสรุป
เช่นเดียวกับการค้นพบครั้งสำคัญ ๆ ในประวัติศาสตร์ การค้นพบ, การประดิษฐ์, และการใช้เทคโนโลยีใหม่ ๆ จะนำมาซึ่งโอกาสต่าง ๆ ในอุตสาหกรรมทางการเงินนี่อาจเป็นตัวเปลี่ยนเกมสำหรับองค์กร ที่จะเพิ่มความสามารถและลักษณะบริการแบบใหม่ และ วิธีการปรับตัวต่อตลาดและเศรษฐกิจที่พัฒนาตามเทคโนโลยี โดยการส่งเสริม ความโปร่งใส ประสิทธิภาพ และความร่วมมือระหว่างองค์กร การบริหารจัดการความเสี่ยงโดยรวมและสภาพแวดล้อมทางเศรษฐกิจและสังคม